บทเก้า
นางลงมือทำอย่างสุขุมรอบคอบ
1-3. (ก) อันตรายอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับครัวเรือนของอะบีฆายิล? (ข) เราจะเรียนอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนี้?
อะบีฆายิลมองเห็นความหวาดกลัวในแววตาของคนงานหนุ่ม. เขากลัวมากซึ่งก็มีเหตุผล. ภัยร้ายกำลังใกล้เข้ามา. ขณะนั้นนักรบราว 400 คนกำลังจะมาฆ่าผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของนาบาล สามีของอะบีฆายิล. เพราะเหตุใด?
2 เรื่องทั้งหมดเกิดจากนาบาล. เขาทำสิ่งที่ชั่วร้ายและดูถูกเหยียดหยามคนอื่นตามนิสัยของเขา. แต่คราวนี้เขาพลาดไป เขาแสดงพฤติกรรมนั้นต่อแม่ทัพผู้เป็นที่รักของเหล่านักรบที่ซื่อสัตย์และถูกฝึกมาอย่างดี. ตอนนี้คนงานหนุ่มคนหนึ่งของนาบาลซึ่งอาจทำหน้าที่ดูแลฝูงแกะได้มาหาอะบีฆายิล เขาเชื่อว่านางจะหาทางช่วยพวกเขาได้. แต่ผู้หญิงคนเดียวจะสู้กับทหารทั้งกองได้อย่างไร?
ผู้หญิงคนเดียวจะสู้กับทหารทั้งกองได้อย่างไร?
3 ก่อนอื่น ให้เรามารู้จักผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนี้มากขึ้นสักหน่อย. อะบีฆายิลเป็นใคร? เหตุการณ์วิกฤตินี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? และเราจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างความเชื่อของนาง?
“มีความรอบคอบและหน้าตาสวยงาม”
4. นาบาลเป็นคนแบบไหน?
4 อะบีฆายิลกับนาบาลเป็นคู่ที่ไม่เหมาะสมกันเลย. นาบาลคงไม่อาจหาภรรยาที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว ส่วนอะบีฆายิลก็แต่งงานกับคนที่ไม่มีใครเลวเท่า1 ซามู. 25:2, 3, 17, 21, 25, ฉบับ 1971
เขา. จริงอยู่ นาบาลเป็นคนร่ำรวยจึงคิดว่าตัวเองสำคัญมาก. แต่คนอื่นมองเขาอย่างไร? แทบไม่มีบุคคลใดที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเท่ากับนาบาล. ชื่อของเขามีความหมายว่า “โฉดเขลา” หรือ “โง่.” นี่เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เมื่อเขาเกิดไหม หรือเป็นฉายาที่เขาได้มาในภายหลัง? ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ประพฤติตัวสมกับชื่อนั้นจริง ๆ. นาบาลเป็นคน “สามานย์และประพฤติตัวเลวทราม.” เขายังเป็นคนพาลและขี้เมา ผู้คนจึงกลัวและเกลียดเขา.—5, 6. (ก) คุณคิดว่าคุณลักษณะใดของอะบีฆายิลน่าดึงดูดใจมากที่สุด? (ข) ทำไมอะบีฆายิลจึงแต่งงานกับคนไร้ค่าอย่างนาบาล?
5 อะบีฆายิลต่างจากนาบาลอย่างสิ้นเชิง. ชื่อของนางมีความหมายว่า “บิดาของข้าพเจ้าทำให้ตัวท่านมีความยินดี.” บิดาหลายคนรู้สึกภูมิใจที่มีลูกสาวสวย แต่บิดาที่ฉลาดสุขุมจะมีความสุขยิ่งกว่านั้นมากเมื่อลูกของตนมีความงามภายใน. บ่อยครั้งทีเดียว คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมักไม่เห็นความจำเป็นที่จะพัฒนาคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความสุขุมรอบคอบ สติปัญญา ความกล้า หรือความเชื่อ. แต่อะบีฆายิลไม่เป็นเช่นนั้น. คัมภีร์ไบเบิลชมเชยนางว่าเป็นคนสุขุมรอบคอบและมีหน้าตาสวยงาม.—อ่าน 1 ซามูเอล 25:3
6 บางคนในทุกวันนี้อาจสงสัยว่าทำไมหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างนางจึงไปแต่งงานกับคนไร้ค่าเช่นนั้น. อย่าลืมว่า หลายคู่ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลแต่งงานกันโดยมีผู้ใหญ่จัดการให้ และถึงแม้ไม่เป็นเช่นนั้น ความพึงพอใจของพ่อแม่ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก. พ่อแม่ของอะบีฆายิลต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับนาบาล หรือถึงกับจัดการเรื่องงานแต่งให้เพราะชอบใจที่เขามั่งคั่งและมีชื่อเสียงไหม? หรือพวกเขายากจนจึงต้องให้ลูกแต่งงานกับนาบาล? ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เงินของนาบาลก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นสามีที่ดี.
7. (ก) พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงอะไรถ้าต้องการสอนลูกให้มีทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องการแต่งงาน? (ข) อะบีฆายิลตั้งใจจะทำอะไร?
7 พ่อแม่ที่ฉลาดจะสอนลูกให้มีทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องการแต่งงาน. พวก1 โค. 7:36) แต่สายเกินไปแล้วสำหรับอะบีฆายิลที่จะคิดถึงเรื่องนี้. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด นางก็แต่งงานกับนาบาลแล้ว และนางตั้งใจจะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดในสภาพการณ์ที่ต้องอดทนเช่นนั้น.
เขาจะไม่สนับสนุนให้ลูกแต่งงานเพื่อเงินและไม่กดดันให้ลูกเริ่มคบหากับเพศตรงข้ามตั้งแต่อายุยังน้อยโดยที่ยังไม่พร้อมจะรับเอาหน้าที่รับผิดชอบแบบผู้ใหญ่. (“นายกลับดุเอาคนเหล่านั้น”
8. นาบาลดูถูกใคร และทำไมคุณคิดว่านั่นเป็นการกระทำที่โง่เขลา?
8 นาบาลเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ซึ่งทำให้อะบีฆายิลรู้สึกหนักใจยิ่งกว่าครั้งใด ๆ. คนที่เขาดูถูกคือดาวิด. ดาวิดเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาซึ่งผู้พยากรณ์ซามูเอลได้เจิมไว้ เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกให้เป็นกษัตริย์ต่อจากซาอูล. (1 ซามู. 16:1, 2, 11-13) ระหว่างที่ต้องหลบหนีกษัตริย์ซาอูลที่อิจฉาและพยายามจะฆ่าเขา ดาวิดอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารพร้อมกับทหารที่ภักดี 600 นาย.
9, 10. (ก) สถานการณ์ที่ดาวิดกับคนของเขาเผชิญอยู่ยากลำบากเพียงใด? (ข) เหตุใดนาบาลควรรู้สึกขอบคุณดาวิดกับคนของเขา? (ดูเชิงอรรถวรรค 10 ด้วย)
9 นาบาลอาศัยอยู่ในเมืองมาโอนแต่ทำงานอยู่ใกล้กับเมืองคาร์เมลและดูเหมือนว่ามีที่ดินอยู่ที่นั่น. * ทั้งสองเมืองอยู่ในที่ราบสูงซึ่งมีหญ้าเขียวชอุ่มเหมาะกับการเลี้ยงแกะ และนาบาลก็มีแกะอยู่ 3,000 ตัว. แต่บริเวณโดยรอบเป็นป่ารก. ด้านใต้คือป่าพารานที่กว้างใหญ่. ด้านตะวันออกเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยหุบเหวและถ้ำ เป็นทางที่นำไปสู่ทะเลเค็ม (ปัจจุบันเป็นที่รู้จักว่า ทะเลเดดซี). ในภูมิประเทศเช่นนี้เอง ดาวิดกับคนของเขาต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาอาจประทังชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเผชิญความลำบากหลายอย่าง. บ่อยครั้งพวกเขาอาจเจอคนหนุ่มที่ดูแลฝูงแกะของนาบาลผู้มั่งคั่ง.
10 ทหารที่กำลังลำบากเหล่านี้ปฏิบัติต่อคนเลี้ยงแกะอย่างไร? ทหารเหล่า1 ซามูเอล 25:15, 16 ) ฝูงแกะและคนเลี้ยงเผชิญอันตรายมากมาย. มีสัตว์นักล่าอยู่ทั่วไป และฝูงแกะกับคนเลี้ยงก็อยู่ไม่ไกลจากชายแดนทางใต้ของอิสราเอลจึงถูกบรรดากองโจรของชาติอื่นโจมตีได้ง่าย. *
นี้จะขโมยแกะไปเมื่อไรก็ได้ แต่พวกเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น. ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นเหมือนกำแพงที่ปกป้องฝูงสัตว์และคนใช้ของนาบาล. (อ่าน11, 12. (ก) ดาวิดแสดงอย่างไรว่าเขามีความรอบคอบและให้เกียรตินาบาล? (ข) คำตอบของนาบาลแสดงอย่างไรว่าเขามีทัศนะที่ไม่ถูกต้องต่อดาวิด?
11 การเลี้ยงดูทหารทั้งหมดในป่ากันดารคงเป็นงานหนักทีเดียว. ดังนั้น วันหนึ่งดาวิดจึงส่งตัวแทน 10 คนไปขอความช่วยเหลือจากนาบาล. ดาวิดเลือกเวลาอย่างรอบคอบ. ขณะนั้นเป็นช่วงเทศกาลตัดขนแกะ ซึ่งตามปกติแล้วจะมีงานเลี้ยงรื่นเริงและการแจกปัน. ดาวิดยังเลือกใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง โดยใช้คำและวิธีเรียกที่สุภาพ. เขาถึงกับเรียกตนเองว่า “ดาวิดบุตรของท่าน” ซึ่งคงจะเป็นการให้เกียรตินาบาลผู้สูงวัยกว่า. แต่นาบาลตอบอย่างไร?—1 ซามู. 25:5-8
12 เขาโกรธมาก! คนงานหนุ่มที่กล่าวถึงในตอนต้นเล่าเหตุการณ์ให้อะบีฆายิลฟังว่า “นายกลับดุเอาคนเหล่านั้น.” นาบาลผู้ตระหนี่ได้บ่นเสียงดังว่าขนมปัง น้ำ และเนื้อสัตว์นั้นมีค่ามาก. เขาเยาะเย้ยดาวิดว่าเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรและเปรียบดาวิดเป็นเหมือนบ่าวที่หนีจากนายของตน. ทัศนะของนาบาลอาจคล้ายกันกับทัศนะของซาอูลผู้เกลียดชังดาวิด. ทั้งสองไม่ได้มีทัศนะแบบพระยะโฮวา. พระเจ้ารักดาวิดและมองว่าดาวิดคือผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลในอนาคต ไม่ใช่บ่าวที่กบฏต่อนาย.—1 ซามู. 25:10, 11, 14
13. (ก) ดาวิดทำอะไรเมื่อได้ยินรายงานจากคนของเขา? (ข) ยาโกโบ 1:20 สอนเราอย่างไรเกี่ยวกับปฏิกิริยาของดาวิด?
13 เมื่อคนที่ส่งไปกลับมารายงาน ดาวิดเดือดดาลมาก. เขาสั่งว่า “ให้1 ซามู. 25:12, 13, 21, 22) ดาวิดมีเหตุผลที่จะรู้สึกโกรธ แต่วิธีแสดงออกของเขาไม่ถูกต้อง. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ความโกรธของมนุษย์ไม่ได้ทำให้เกิดความชอบธรรมตามที่พระเจ้าประสงค์.” (ยโก. 1:20) แต่อะบีฆายิลจะช่วยชีวิตคนที่อยู่ในครัวเรือนของนางได้อย่างไร?
ทุกคนสะพายกระบี่ของตนไว้.” ดาวิดก็คว้าอาวุธแล้วนำทหาร 400 คนบุกไปหานาบาล. เขาสาบานว่าจะสังหารผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของนาบาล. (“ขอบคุณสติปัญญาของเจ้า”
14. (ก) อะไรถือเป็นก้าวแรกที่อะบีฆายิลทำเพื่อแก้ไขความผิดพลาดร้ายแรงของนาบาล? (ข) ความแตกต่างระหว่างนาบาลกับอะบีฆายิลสอนบทเรียนอะไรแก่เรา? (ดูเชิงอรรถด้วย)
14 อะบีฆายิลเป็นคนถ่อมพร้อมจะรับฟัง. นี่ถือเป็นก้าวแรกที่จะช่วยแก้ไขความผิดพลาดร้ายแรงนี้. นางต่างจากนาบาล คนงานหนุ่มพูดถึงนาบาลว่า “เป็นคนพาล ไม่มีใครพูดกับเขาได้.” * (1 ซามู. 25:17) น่าเศร้า ความรู้สึกว่าตนเองสำคัญทำให้เขาไม่ยอมฟังใคร. ความทะนงตัวเช่นนั้นยังมีให้เห็นมากมายในทุกวันนี้. แต่ชายหนุ่มคนนี้รู้ว่าอะบีฆายิลต่างจากนาบาล และคงเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงมาบอกให้นางทราบปัญหาที่เกิดขึ้น.
ต่างจากนาบาลอะบีฆายิลเป็นคนเต็มใจรับฟัง
15, 16. (ก) อะบีฆายิลแสดงให้เห็นอย่างไรว่านางเป็นเหมือนภรรยาที่มีความสามารถดังที่พรรณนาไว้ในหนังสือสุภาษิต? (ข) เหตุใดการกระทำของอะบีฆายิลไม่ได้เป็นการขัดขืนตำแหน่งประมุขของสามี?
15 อะบีฆายิลคิดและลงมือทำอย่างรวดเร็ว. เราอ่านว่า “นางอะบีฆายิลก็รีบจัดแจง.” ในบันทึกเรื่องนี้เรื่องเดียวเราพบว่ามีการใช้คำกริยาเดียวกันถึงสี่ครั้งกับหญิงคนนี้ คือคำว่า “รีบ.” นางได้จัดเตรียมสิ่งของมากมายเพื่อนำไปให้ดาวิดกับคนของเขา. ของเหล่านั้นมีขนมปัง เหล้าองุ่น แกะ ข้าวคั่ว ขนมลูกองุ่น และขนมมะเดื่อเทศ. เห็นได้ชัด อะบีฆายิลรู้ดีว่านางมีสิ่งของอะไรอยู่สุภา. 31:10-31) นางให้คนรับใช้นำสิ่งของไปให้ก่อน แล้วได้ตามไปภายหลังคนเดียว. เราอ่านว่า “แต่นางไม่บอกให้นาบาลสามีรู้.”—1 ซามู. 25:18, 19
และนางเอาใจใส่หน้าที่ในครัวเรือนอย่างดี เช่นเดียวกับภรรยาที่มีความสามารถดังที่พรรณนาไว้ในหนังสือสุภาษิตในเวลาต่อมา. (16 นี่จะหมายความว่าอะบีฆายิลกำลังขัดขืนต่อตำแหน่งประมุขของสามีไหม? ไม่เลย. นาบาลได้ปฏิบัติอย่างเลวร้ายต่อผู้รับใช้ที่พระยะโฮวาเจิม ซึ่งอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์หลายคนในครัวเรือนของนาบาลต้องล้มตาย. หากอะบีฆายิลไม่ลงมือทำอะไร เป็นไปได้ไหมที่นางอาจกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในความผิดของสามี? ในกรณีนี้นางต้องยอมอยู่ใต้อำนาจพระเจ้ามากกว่ายอมอยู่ใต้อำนาจสามี.
17, 18. อะบีฆายิลทำอะไรเมื่อพบดาวิด นางพูดอะไรกับดาวิด และอะไรทำให้คำพูดของนางเกิดผลดี?
17 จากนั้นไม่นาน อะบีฆายิลก็ได้พบดาวิดและคนของเขา. อีกครั้งหนึ่งที่นางเร่งรีบ แต่คราวนี้รีบลงจากหลังลาและทรุดตัวลงต่อหน้าดาวิด. (1 ซามู. 25:20, 23) แล้วนางก็พูดกับดาวิดด้วยความรู้สึกจากหัวใจ วิงวอนขออย่างหนักแน่นให้ดาวิดเมตตาสามีกับคนในครัวเรือนของนาง. อะไรทำให้คำพูดของนางได้ผล?
18 อะบีฆายิลแสดงความรับผิดชอบในปัญหาที่เกิดขึ้นและขอดาวิดอภัยให้นาง. นางยอมรับอย่างที่ตรงกับความเป็นจริงว่า สามีนางเป็นคนโง่เขลาตามความหมายของชื่อเขา คำพูดของนางอาจบอกเป็นนัย ๆ ว่า ถ้าดาวิดลงโทษคนแบบนั้นก็จะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติ. นางไว้วางใจดาวิดในฐานะตัวแทนของพระยะโฮวา และตระหนักว่าเขากำลังต่อสู้ใน “สงครามของพระองค์.” นอกจากนั้น นางยังรู้เรื่องคำสัญญาของพระยะโฮวาเกี่ยวกับดาวิดและฐานะกษัตริย์ของเขา เพราะนางกล่าวว่า “พระยะโฮวา . . . จะตั้งท่านให้ปกครองประเทศยิศราเอล.” ยิ่งกว่านั้น นางกระตุ้นเตือนดาวิดว่าอย่าลงมือกระทำการใด ๆ อันอาจจะทำให้เขามีความผิดฐานทำให้โลหิตตกหรืออาจ “เป็นเหตุ1 ซามูเอล 25:24-31 ) ช่างเป็นคำพูดที่กรุณาและน่าประทับใจจริง ๆ!
ให้ท่านเป็นทุกข์เสียใจ” ในภายหลัง ซึ่งคงหมายถึงการที่ดาวิดถูกสติรู้สึกผิดชอบรบกวน. (อ่าน19. ดาวิดตอบสนองอย่างไรต่อคำพูดของอะบีฆายิล และเหตุใดเขาชมเชยนาง?
19 ดาวิดตอบสนองอย่างไร? เขายอมรับสิ่งของที่อะบีฆายิลนำมาให้และกล่าวว่า “สาธุการแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกยิศราเอลที่ทรงโปรดให้เจ้ามาพบเราวันนี้. ขอบคุณสติปัญญาของเจ้าและขอบคุณซึ่งเจ้าได้หน่วงเหนี่ยวเราไว้ วันนี้ให้พ้นจากบาปฆ่าคน.” ดาวิดชมเชยอะบีฆายิลที่รีบมาพบเขาด้วยความกล้าหาญ และยอมรับว่านางได้หน่วงเหนี่ยวเขาไว้จากการทำผิดฐานทำให้โลหิตตก. ดาวิดบอกอะบีฆายิลว่า “เชิญกลับไปบ้านเป็นสุขเถิด” และกล่าวด้วยความถ่อมใจอีกว่า ‘เราได้เชื่อคำของเจ้าแล้ว.’—1 ซามู. 25:32-35
“ข้าพเจ้าเป็นเสมอทาสี”
20, 21. (ก) ทำไมคุณรู้สึกว่าการที่อะบีฆายิลเต็มใจกลับไปหาสามีจึงเป็นเรื่องน่าประทับใจ? (ข) อะบีฆายิลแสดงความกล้าหาญและความสุขุมรอบคอบอย่างไรในการเลือกเวลาที่จะไปคุยกับนาบาล?
20 เมื่อแยกจากดาวิดแล้ว อะบีฆายิลคงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่คุยกับดาวิด และนางคงสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างชายผู้ซื่อสัตย์และมีความกรุณากับชายที่โหดร้ายซึ่งนางได้แต่งงานด้วย. แต่นางก็ไม่ได้ครุ่นคิดแต่เรื่องเหล่านั้น. เราอ่านว่า อะบีฆายิล “ก็กลับไปหานาบาล.” ใช่แล้ว นางตั้งใจกลับไปหาสามีและทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุด. นางต้องบอกเขาเรื่องสิ่งของที่นำไปให้ดาวิดและคนของเขา. เขามีสิทธิ์ที่จะรู้. นางต้องบอกสามีด้วยว่านางได้ทำอะไรเพื่อปกป้องครอบครัวจากภัยอันตรายก่อนที่เขาจะรู้จากคนอื่น ซึ่งจะยิ่งเป็นเรื่องน่าอาย. แต่นางยังบอกตอนนั้นไม่ได้. เขากำลังกินเลี้ยงราวกับพระราชาและกำลังเมามาก.—1 ซามู. 25:36, ฉบับ 1971
21 อีกครั้งหนึ่ง อะบีฆายิลได้แสดงความกล้าและความสุขุมรอบคอบ นางคอยจนถึงรุ่งเช้าให้สามีสร่างเมา. ตอนนั้นเขาคงมีสติพอที่จะเข้าใจนาง แต่อารมณ์ที่ร้ายกาจของเขาอาจเป็นอันตรายต่อนางมากขึ้น. ถึงกระนั้น อะบีฆายิล1 ซามู. 25:37
ก็ไปหาเขาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง. นางคงคิดว่าเขาต้องโกรธแน่และอาจใช้ความรุนแรงด้วยซ้ำ. แต่เขากลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง.—22. เกิดอะไรขึ้นกับนาบาล และเราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการกดขี่หรือความรุนแรงในครอบครัว?
22 เกิดอะไรขึ้นกับนาบาล? “จิตใจของเขาก็ตายเสียภายในและเขากลายเป็นดังก้อนหิน.” อาจเป็นได้ว่าเส้นเลือดสมองของเขาตีบ. ประมาณ 10 วันหลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิต แต่ไม่ได้มีสาเหตุจากความเจ็บป่วยเท่านั้น. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระยะโฮวาทรงลงโทษนาบาลจนถึงแก่ชีวิต.” (1 ซามู. 25:38) ด้วยการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า ชีวิตสมรสที่เป็นเหมือนฝันร้ายอันยาวนานของอะบีฆายิลก็สิ้นสุดลง. ถึงแม้ว่าทุกวันนี้พระยะโฮวาจะไม่ได้ เข้าแทรกแซงโดยการลงโทษอย่างอัศจรรย์ แต่เรื่องนี้เป็นข้อเตือนใจที่ดีว่าไม่มีการกดขี่หรือความรุนแรงใด ๆ ในครอบครัวที่พ้นจากการสังเกตของพระองค์. พระองค์จะจัดการอย่างยุติธรรมเสมอเมื่อถึงเวลา.—อ่านลูกา 8:17
23. อะบีฆายิลยังได้พระพรอะไรอีก และนางแสดงอย่างไรว่าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้จะได้เป็นภรรยาของดาวิด?
23 นอกจากจะหลุดพ้นจากชีวิตสมรสอันขมขื่นแล้ว อะบีฆายิลยังได้พระพรอีกอย่างหนึ่งด้วย. เมื่อดาวิดรู้ว่านาบาลตายแล้ว เขาก็ส่งคนไปรับนางมาเป็นภรรยา. นางตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสมอทาสีสำหรับจะได้ล้างเท้าคนใช้ของนาย.” เห็นได้ชัดว่า การจะได้เป็นภรรยาของดาวิดไม่ได้ทำให้นางเปลี่ยนไป นางถึงกับเสนอที่จะรับใช้คนใช้ของดาวิดด้วยซ้ำ. จากนั้น เราได้อ่านอีกครั้งหนึ่งว่านางเร่งรีบ ซึ่งครั้งนี้เพื่อจะไปพบดาวิด.—1 ซามู. 25:39-42
24. อะบีฆายิลเผชิญปัญหาอะไรบ้างหลังจากแต่งงาน แต่ดาวิดและพระเจ้ามองนางอย่างไร?
24 นี่ไม่ใช่การจบแบบนิยายรัก หลังจากแต่งงานกับดาวิด อะบีฆายิลต้องเผชิญปัญหาอีกหลายอย่าง. ดาวิดแต่งงานกับอะฮีโนอำแล้ว และแม้พระเจ้าอนุญาตให้มีภรรยาหลายคน แต่การอยู่ในครอบครัวเช่นนั้นคงไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงที่ซื่อสัตย์. ดาวิดยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ เขายังต้องเผชิญอุปสรรคและความยากลำบากอีกมากมายก่อนจะได้รับใช้พระยะโฮวาในฐานะนั้น. ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน อะบีฆายิลได้ช่วยเหลือและสนับสนุนดาวิดหลายอย่าง นอกจากนั้น พวกเขายังมีบุตรชายคนหนึ่งด้วยกัน. นางรู้ว่าสามีรักนางและจะคอยปกป้องนางเสมอ. ในโอกาสหนึ่งดาวิดถึงกับช่วยชีวิตนางเมื่อถูกลักพาตัวไป! (1 ซามู. 30:1-19) โดยทำเช่นนี้ ดาวิดได้เลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ทรงรักและเห็นคุณค่าเหล่าผู้หญิงที่สุขุม กล้าหาญ และซื่อสัตย์ต่อพระองค์.
^ วรรค 9 นี่ไม่ใช่ภูเขาคาร์เมลที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือที่ผู้พยากรณ์เอลียาห์เผชิญหน้ากับผู้พยากรณ์ของพระบาอัล. (ดูบท 10) แต่เป็นเมืองที่อยู่ติดกับป่ากันดารทางตอนใต้.
^ วรรค 10 ดาวิดคงรู้สึกว่าการปกป้องเจ้าของที่ดินและฝูงสัตว์ของพวกเขาเป็นการรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าอย่างหนึ่ง. ในสมัยนั้น พระยะโฮวาประสงค์ให้ลูกหลานของอับราฮาม ยิศฮาค และยาโคบ อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น. การปกป้องดินแดนนั้นจากผู้รุกรานและบรรดากองโจรจากชาติอื่นจึงเป็นงานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์รูปแบบหนึ่ง.
^ วรรค 14 วลีที่ชายหนุ่มคนนี้ใช้มีความหมายตรงตัวว่า “ลูกแห่งเบลิอาล (ความไร้ค่า).” คัมภีร์ไบเบิลฉบับอื่นแปลประโยคนี้โดยรวมเอาคำอธิบายลักษณะของนาบาลไว้ด้วยว่าเป็นคนที่ “ไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น” และกล่าวสรุปว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับเขา.”