คัมภีร์ไบเบิลทุกตอนยังคงใช้ได้ไหม?
ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล
คัมภีร์ไบเบิลทุกตอนยังคงใช้ได้ไหม?
“คัมภีร์ไบเบิลแทบจะไม่มีคุณค่าใด ๆ เลยสำหรับคนยุคปัจจุบัน นอกจากจะเป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ใช้แก้ปริศนาอักษรไขว้หรือเพื่อตอบคำถามในเกมโชว์.”
“การที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงลำดับวงศ์วาน, การรักษาความบริสุทธิ์, และการเกรงกลัวพระเจ้าเป็นแนวคิดทางวัฒนธรรมที่ใช้ได้ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล แต่แทบใช้ไม่ได้เลยในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด.”
“คัมภีร์ไบเบิลล้าสมัยมาตั้งแต่ก่อนพิมพ์เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ.”
ข้อคิดเห็นเหล่านี้ได้มาจากเว็บไซต์หนึ่งทางอินเทอร์เน็ตเมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งพิจารณาหัวเรื่อง “คัมภีร์ไบเบิลล้าสมัยและใช้ไม่ได้แล้วไหม?” คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับข้อคิดเห็นเหล่านี้? คุณเห็นด้วยไหม?
คุณอาจไม่เห็นด้วยกับการกล่าวรวม ๆ ว่าไม่มีตอนใดเลยในคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นประโยชน์ แต่ก็อาจสงสัยว่าทุกสิ่งที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิลยังใช้ได้หรือไม่. ถ้าจะว่าไป คัมภีร์ไบเบิลที่ใช้กันในโบสถ์ส่วนใหญ่ถูกแบ่งเป็นสองภาคซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่ ทำให้รู้สึกว่ามีมากกว่าสามในสี่ของคัมภีร์ไบเบิลนั้นเก่าล้าสมัยไปแล้ว.
ไม่มีใครที่ยังคงถวายเครื่องบูชาสัตว์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายของโมเซ. ดังนั้น จะมีประโยชน์อะไรที่จะเก็บรักษารายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องบูชาที่อยู่ในหนังสือเลวีติโก? (เลวีติโก 1:1–7:38) แล้วจะว่าอย่างไรกับบทต้น ๆ ในหนังสือ 1 โครนิกา ซึ่งมีแต่ลำดับวงศ์วานเกือบทั้งหมด? (1 โครนิกา 1:1–9:44) ถ้าไม่มีใครในปัจจุบันสามารถจะสืบลำดับวงศ์วานไปถึงคนใดคนหนึ่งที่กล่าวไว้ในบทเหล่านั้นได้ รายชื่อนั้นจะมีประโยชน์อะไร?
สมมุติว่าคุณเก็บแอปเปิลหนึ่งผลจากต้น. เมื่อคุณได้แอปเปิลมาแล้ว ต้นของมันยังมีประโยชน์อยู่ไหม? มีสิ ถ้าคุณยังต้องการแอปเปิลอีก! ในบางแง่ คัมภีร์ไบเบิลเปรียบได้กับต้นแอปเปิล. บางส่วนของคัมภีร์ไบเบิล เช่น บทเพลงสรรเสริญหรือคำเทศน์บนภูเขาอาจดูเหมือนว่าเข้าใจได้ทันที และ “มีรสชาติดี” เป็นพิเศษ. ขณะที่เราถือว่าส่วนเหล่านี้มีค่ามาก เหมือนที่เราชอบผลไม้ซึ่งเป็นของโปรด เราควรตัดส่วนอื่น ๆ ทิ้งไปไหม? คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไรในเรื่องนี้?
ประมาณสากลศักราช 65 อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายฉบับที่สองถึงติโมเธียว และเตือนท่านว่า “ท่านรู้จักหนังสือบริสุทธิ์ตั้งแต่เป็นทารก ซึ่งสามารถทำให้ท่านมีปัญญาที่จะทำให้ได้รับความรอดโดยความเชื่อในพระคริสต์เยซู.” เปาโลกล่าวต่อไปว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและมีประโยชน์เพื่อการสอน การว่ากล่าว การจัดการเรื่องราวให้ถูกต้อง การตีสอนด้วยความชอบธรรม.” (2 ติโมเธียว 3:15, 16) เมื่อเปาโลเขียนว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและมีประโยชน์” ท่านกำลังพูดถึงเฉพาะพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เท่านั้นไหม?
จงสังเกตที่เปาโลพูดว่าติโมเธียวได้ “รู้จักหนังสือบริสุทธิ์ตั้งแต่เป็นทารก.” ถ้าเป็นอย่างที่บางคนเชื่อที่ว่าติโมเธียวอายุประมาณ 30 ปีเมื่อเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ตอนที่ติโมเธียวเป็นทารกก็คงอยู่ในช่วงเวลาที่พระเยซูสิ้นพระชนม์. นั่นคือก่อนจะมีการเขียนพันธสัญญาใหม่หรือพระคัมภีร์ภาคภาษากรีก. มารดาของติโมเธียวเป็นชาวยิว ดังนั้น หนังสือบริสุทธิ์กิจการ 16:1) “พระคัมภีร์ทุกตอน” ที่เปาโลพูดถึงคงจะรวมเอาพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งข้อกำหนดว่าด้วยเครื่องบูชาและลำดับวงศ์วาน.
ที่เธอใช้สอนท่านขณะที่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็คงต้องเป็นพันธสัญญาเดิมหรือพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู. (ต่อจากนั้น 1,900 กว่าปี เราก็ยังได้รับประโยชน์จากส่วนเหล่านี้ของคัมภีร์ไบเบิลในหลาย ๆ ทางด้วยกัน. ประการแรก เราจะไม่มีคัมภีร์ไบเบิลด้วยซ้ำถ้าพระเจ้าไม่ให้มีการบันทึกและเก็บรักษาพระคัมภีร์นั้นโดยชนชาติหนึ่งที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้. (โรม 3:1, 2) ในชาติอิสราเอลโบราณ พระบัญญัติของโมเซไม่ใช่แค่สิ่งเก่าแก่อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้สำหรับคนรุ่นหลัง แต่อันที่จริงเป็นรัฐธรรมนูญของชาตินั้น. รายละเอียดในพระบัญญัติที่อาจดูเหมือนไม่จำเป็นสำหรับพวกเราในปัจจุบันนั้น เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อความอยู่รอดและการดำเนินงานของชาติอิสราเอลโบราณ. ยิ่งกว่านั้น บันทึกลำดับวงศ์วานในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะระบุตัวพระมาซีฮา ซึ่งมีคำพยากรณ์บอกไว้ว่าจะมาในเชื้อวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด.—2 ซามูเอล 7:12, 13; ลูกา 1:32; 3:23-31
แม้คริสเตียนไม่ได้อยู่ภายใต้พระบัญญัติของโมเซ พวกเขาก็ต้องแสดงความเชื่อในมาซีฮาที่บอกไว้ล่วงหน้า คือพระเยซูคริสต์. บันทึกลำดับวงศ์วานในสมัยโบราณที่เก็บรักษาไว้ในคัมภีร์ไบเบิลพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็น “บุตรดาวิด” ตามคำสัญญา. และรายละเอียดเกี่ยวกับการถวายเครื่องบูชาทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นในเรื่องเครื่องบูชาที่สำคัญกว่าซึ่งพระเยซูได้ถวาย และเสริมสร้างความเชื่อในคุณค่าของเครื่องบูชานั้น.—ฮีบรู 9:11, 12
เปาโลเขียนจดหมายไปถึงประชาคมคริสเตียนที่กรุงโรมในศตวรรษแรกว่า “ทุกสิ่งที่เขียนไว้ก่อนแล้วก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะมีความหวังโดยความเพียรอดทนของเราและโดยการชูใจจากพระคัมภีร์.” (โรม 15:4) คัมภีร์ข้อนี้เตือนใจเราว่าคัมภีร์ไบเบิลถูกเขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ของเรา แต่ไม่เฉพาะสำหรับพวกเราเท่านั้น. เป็นเวลากว่า 3,500 ปีที่ถ้อยคำซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจได้ชี้แนะ, สั่งสอน, และแก้ไขประชาชนของพระเจ้า—ในถิ่นทุรกันดารไซนาย, ในแผ่นดินตามคำสัญญา, เมื่อเป็นเชลยในบาบิโลน, ในจักรวรรดิโรมัน, และในปัจจุบันทั่วทั้งโลก. ไม่มีหนังสือเล่มใดจะอ้างเช่นนั้นได้. เช่นเดียวกับรากของต้นแอปเปิล คุณค่าของบางส่วนในคัมภีร์ไบเบิลแรก ๆ ก็อาจมองเห็นได้ยาก. อาจจำเป็นต้องขุดค้นสักหน่อยเพื่อจะเห็นคุณค่า แต่การทำเช่นนั้นคุ้มค่าความพยายามมากทีเดียว!
คุณเคยสงสัยไหม?
• ติโมเธียวรู้จัก “หนังสือบริสุทธิ์” ตั้งแต่เมื่อไร?—2 ติโมเธียว 3:15
• ส่วนใดของคัมภีร์ไบเบิลที่มีขึ้นโดยการดลใจและเป็นประโยชน์?—2 ติโมเธียว 3:16
• เราจะได้ประโยชน์อย่างไรจาก “ทุกสิ่งที่เขียนไว้ก่อนแล้ว”?—โรม 15:4
[ภาพหน้า 29]
รายละเอียดในคัมภีร์ไบเบิลทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นในเรื่องเครื่องบูชาที่พระเยซูได้ถวาย