การเอาใจใส่คำเตือนให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
การเอาใจใส่คำเตือนให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2005 เป็นวันที่มีอากาศร้อนชื้นซึ่งเป็นเรื่องปกติของเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา. อลันและครอบครัวออกจากบ้านไปพักผ่อนสองสามวันที่เมืองโบมองต์ รัฐเทกซัส ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนิวออร์ลีนส์ไปทางตะวันตกกว่า 300 กิโลเมตร. พวกเขาเตรียมเสื้อผ้าพอใส่ประมาณห้าวัน. อลันอธิบายว่า “เราไม่รู้ว่าตอนนั้นพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนากำลังก่อตัวขึ้นทางฝั่งตะวันตกของฟลอริดา. แต่พอถึงคืนวันศุกร์ก็ปรากฏว่าเฮอร์ริเคนที่มีความรุนแรงระดับ 4 หรือ 5 ก็เข้าพัดถล่มนิวออร์ลีนส์.”
วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม ปรากฏว่าพายุที่ได้ชื่อว่าแคทรีนากำลังจะกลายเป็นเฮอร์ริเคนที่มีกำลังแรงระดับสูงสุด. นายกเทศมนตรีเมืองนิวออร์ลีนส์มีคำสั่งให้อพยพผู้คนออกจากเมือง. ผลก็คือ มีรถหลายพันคันค่อย ๆ ทยอยออกจากเมืองนี้มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก และถนนหลวงสายต่าง ๆ กลายเป็นอัมพาต. ส่วนผู้คนนับหมื่นที่ไม่มีรถยนต์ก็หนีไปหาที่หลบภัยหรือไม่ก็หนีไปอยู่ที่สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าซูเปอร์โดม. บางคนตัดสินใจไม่อพยพแต่จะอยู่ในบ้านของตนจนกว่าพายุจะผ่านไป.
‘คราวหน้าผมจะเป็นคนแรกที่ออกจากที่นี่!’
โจเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งที่ตัดสินใจว่าจะไม่อพยพ. เขามั่นใจว่าเขาจะรอดจากพายุได้โดยอยู่ที่บ้าน. เขาให้เหตุผลว่า ความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนครั้งก่อน ๆ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ไว้. เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าผมน่าจะรอด. แต่ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว! ลมและฝนพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง. ทันใดนั้น หลังคาบ้านผมก็ถูกลมหอบขึ้นไป. จากนั้น ระดับน้ำก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในสามชั่วโมงระดับน้ำสูงขึ้นถึง 3 เมตร! น้ำทะลักเข้ามาในบ้านเร็วมากจนผมต้องขึ้นไปอยู่บนชั้นสอง. ที่จริงผมกลัวมากเนื่องจากพายุส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นและผนังบ้านดูเหมือนจะทลายลง. เพดานพังลงมา. ตอนนี้ผมพยายามคิดว่าจะหนีได้อย่างไร.
“ผมคิดว่าจะต้องกระโดดลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก. แต่คลื่นที่อยู่ข้างนอกนั้นซัดแรงมาก. ที่ถนนใกล้ ๆ ลมกระโชกแรงจนเกิดฟองคลื่นสีขาว. ผมรู้ว่าถ้ากระโดดลงไป ผมอาจจมน้ำตายก็ได้.”
ในที่สุด มีเรือมาช่วยโจและพาเขาไปที่สะพานแห่งหนึ่ง. มีศพมากมายลอยอยู่ในน้ำบริเวณใต้สะพานนั้นและมีอุจจาระลอยไปทั่ว. เขานอนในกระโปรงหลังรถหนึ่งคืน. จากนั้นเขาก็ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์และรถโดยสารไปยังศาลากลางเมืองนิวออร์ลีนส์. เขากล่าวว่า “ผู้คนที่นั่นเอาใจใส่ผมอย่างดี. มีช่วงหนึ่งที่ผมเกือบจะเสียสติไปแล้ว. ผมกังวลแต่ว่า ‘ผมจะเอาน้ำดื่มขวดต่อไปได้จากที่ไหน?’”
เมื่อคิดถึงเรื่องดังกล่าว โจตระหนักว่าเขาอาจหลีกเลี่ยงความยากลำบากในเหตุการณ์อันน่ากลัวครั้งนั้นได้. เขาบอกว่า “ผมได้บทเรียนแล้ว. คราวหน้าถ้าเขาบอกให้ ‘อพยพ’ ผมจะเป็นคนแรกที่ออกจากที่นั่น!”
เธอไม่ใส่ใจคำเตือนจึงต้องพึ่งต้นไม้เพื่อจะรอด
เมืองบิโลซีและเมืองกัลฟ์พอร์ตซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งมิสซิสซิปปีได้รับความเสียหายอย่างหนักทั้งทรัพย์สินและชีวิต. หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2005 รายงานคำพูดของวินเซนต์ ครีล ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กรของเมืองบิโลซีว่า “หลายคนไม่ใส่ใจคำสั่งที่ให้อพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากพวกเขา หรือไม่ก็บ้านของพวกเขา เคยรอดจากพายุเฮอร์ริเคนคามิลล์ [ในปี 1969].” คาดกันว่าพายุคามิลล์มีความรุนแรงมากกว่าพายุแคทรีนา แต่ดังที่ครีลกล่าวไว้ พายุแคทรีนา ‘ถาโถมเข้ามาดุจกำแพงน้ำที่ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้ราวกับสึนามิ.’
เอนเนลล์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองบิโลซีมาเกือบทั้งชีวิต เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งเลือกที่จะไม่ใส่ใจคำเตือน. เธอกล่าวว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเรารอดผ่านพายุมาหลายลูกแล้ว. เราจึงไม่กังวลกับพายุแคทรีนามากนัก.” หลังจากที่เอนเนลล์พาแม่สามีวัย 88 ปี, ลูกชาย, ลูกสาว, และลูกเขยเข้ามาอยู่ในบ้าน รวมทั้งสุนัขสองตัวและแมวสามตัวด้วย พวกเขาตัดสินใจว่าจะไม่อพยพออกจากบ้านที่สร้างมาอย่างดี. แล้วพายุก็ถล่มเมืองบิโลซีเวลา 10 โมงเช้าของวันที่ 29 สิงหาคม. เอนเนลล์เล่าว่า “ดิฉันเห็นน้ำไหลเข้ามาในห้องนอนห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหลังบ้าน. แล้วน้ำก็เริ่มไหลเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง. เราตัดสินใจปีนขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาเพื่อจะหาที่ปลอดภัย. แต่ระดับน้ำก็ยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ. เราจึงต้องออกจากห้องใต้หลังคาเพราะกลัวว่าจะติดอยู่ในห้องนั้นจนออกไม่ได้. แต่เราจะไปไหนล่ะ?
“ลูกชายของดิฉันต้องเจาะมุ้งลวดเป็นช่องเพื่อเราจะว่ายมุดออกไปข้างนอกได้. แล้วเราต้องลอยคออยู่ในน้ำโดยเกาะขอบหลังคาไว้. เราสามคนว่ายอ้อมไปทางขวาของบ้าน และลูกสาวของดิฉันไปทางซ้าย. ดิฉันเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ. ลูกชาย, แม่สามี, และดิฉันจึงว่ายน้ำไปที่ต้นไม้นั้นและกอดไว้แน่น. แต่แล้วดิฉันก็ได้ยินเสียงลูกสาวกรีดร้องว่า “แม่คะ! แม่!” ลูกเขยของดิฉันซึ่งออกจากห้องใต้หลังคาคนสุดท้ายได้ว่ายน้ำไปช่วยลูกสาวของดิฉัน. ทั้งสองคนหาทางปีนขึ้นไปบนเรือลำหนึ่งที่เคยจอดอยู่นอกบ้านและกำลังลอยโคลงเคลงอยู่ใกล้ ๆ บ้าน. พวกเขาบอกให้ดิฉันขึ้นไปบนเรือ. ดิฉันไม่ต้องการเสี่ยงว่ายน้ำออกไปเพราะดิฉันเห็นแล้วว่ามีกระแสน้ำวน. ดิฉันรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่บนต้นไม้ต้นนี้และจะไม่ไปไหนทั้งนั้น.
“เนื่องจากดิฉันอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ทั่ว ดิฉันจึงเห็นว่าน้ำไหลลงไปที่ถนนและรอบ ๆ บ้าน. ดิฉันเริ่มคิดถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ และดิฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาที่ไม่เชื่อฟังคำเตือนให้อพยพ.
“ในที่สุด น้ำก็เริ่มลดลงและสุดท้ายเราทั้งหมดก็ขึ้นไปอยู่ในเรือด้วยกัน! รถดับเพลิงมาถึงและพาเราไปที่โรงพยาบาล. เรารู้สึกขอบคุณอย่างเหลือล้นที่รอดมาได้!”
แผนอพยพของพยานฯ
ผลกระทบที่เกิดจากพายุแคทรีนาเห็นได้ตลอดแนวชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ซึ่งตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของรัฐลุยเซียนาไปจนถึงแอละแบมามีบ้านเรือนหลายแสนหลังเสียหายยับเยิน. แต่เฮอร์ริเคนไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับภูมิภาคนี้ของสหรัฐ. ด้วยเหตุนั้น พยานพระยะโฮวาจึงเตรียมแผนอพยพไว้พร้อมมานานหลายปี. ตามปกติแล้วในเดือนมิถุนายนของทุกปี ก่อนฤดูมรสุมจะเริ่มต้น พยานพระยะโฮวาจาก 21 ประชาคมในเมืองนิวออร์ลีนส์รวมทั้งเขตปริมณฑลของเมืองนั้นด้วยจะทบทวนแผนการอพยพฉุกเฉิน. ด้วยเหตุนั้น พยานฯ ที่นั่นส่วนใหญ่รู้ว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างที่ต้องทำเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน. มีการใช้แผนการนี้อย่างไรกับพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา?
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ในเมืองนั้นประกาศว่าต้องอพยพ ผู้ปกครองแต่ละประชาคมติดต่อสมาชิกประชาคมของตนเพื่อกระตุ้นเขาให้อพยพออกจากเมือง. หลายคนสามารถจัดการด้วยตัวเองเพื่อจะอพยพออกไปพร้อมกับครอบครัวหรือเพื่อน ๆ. มีการจัดเตรียมเรื่องการเดินทางและการช่วยเหลือเป็นพิเศษสำหรับผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพ. จอห์นซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการบรรเทาทุกข์ของพยานฯ กล่าวว่า “ผมเชื่อจริง ๆ ว่าโดยการปฏิบัติตามแผนการนี้ เราได้ช่วยชีวิตผู้คนมากมาย.” ฉะนั้น พยานพระยะโฮวาส่วนใหญ่สามารถออกไปจากเมืองก่อนที่พายุจะเข้าถล่ม. เพื่อให้การบรรเทาทุกข์ในเขตที่ได้รับผลกระทบทันที สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในสหรัฐจึงได้ตั้งคณะกรรมการบรรเทาทุกข์.
การตามหาพยานฯ ในแอสโตรโดม
ผู้อพยพประมาณ 16,000 คน ส่วนใหญ่มาจากลุยเซียนา ได้รับอาหาร, น้ำดื่ม, และพักอยู่ที่แอสโตรโดมในเมืองฮุสตัน รัฐเทกซัส. คณะกรรมการบรรเทาทุกข์ของพยานฯ ในฮุสตันรับทราบว่าในบรรดาผู้อพยพกลุ่มใหญ่นี้มีพยานฯ บางคนรวมอยู่ด้วย. แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาอยู่ตรงไหน?
เช้าวันศุกร์ที่ 2 กันยายน ผู้ปกครองของพยานฯ กลุ่มหนึ่งได้มาที่แอสโตรโดมเพื่อค้นหาพี่น้องที่ไร้ที่อยู่. พวกเขารู้สึกตกตะลึงที่เห็นภาพผู้คนหลายพันกระจัดกระจายอยู่ทั่วสนามกีฬาขนาดใหญ่แห่งนี้ ซึ่งมีทั้งชาย, หญิง, วัยรุ่น, เด็ก ๆ, และทารก. สนามฟุตบอลเต็มไปด้วยเตียงผ้าใบหลายพันเตียง อีกทั้งผู้อพยพก็กำลังคอยความช่วยเหลืออย่างอดทน. พวกเขาเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อรอรับการรักษาพยาบาล ทั้งแพทย์และพยาบาลก็กำลังวิ่งไปส่งผู้ป่วยถึงรถพยาบาล.
แซมมูเอล ผู้ปกครองคนหนึ่งที่กำลังมองหาเพื่อนพยานฯ กล่าวว่า “ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย.” พวกเขาจะหาพยานฯ เพียงไม่กี่คนในกลุ่มผู้อพยพมากมายนี้ได้อย่างไร? ผู้ปกครองเริ่มเดินขึ้นและลงตามทางเดินพร้อมกับถือป้ายขนาดใหญ่เพื่อขอให้คนที่เป็นพยานฯ มารายงานตัวกับพวกเขา. หลังจากค้นหาอยู่สามชั่วโมงแต่ไม่ได้ผล พวกเขาก็ตระหนักว่าต้องใช้วิธีค้นหาที่เป็นระบบมากกว่านี้. พวกเขาขอให้สภากาชาดประกาศทางเครื่องขยายเสียงว่า “ทุกคนที่เป็นพยานพระยะโฮวาที่รับบัพติสมาแล้ว ขอกรุณามาที่ทางลาดฝั่งตะวันออกของชั้นล่าง.”
ในที่สุด พยานฯ ก็เริ่มทยอยกันเข้ามาหาเราพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม. แซมมูเอลอธิบาย
ว่า “พวกเขาหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี. พวกเขากอดเราแน่นและจับมือเรา. พวกเขาจับมือเราไว้ตลอดเพราะกลัวว่าจะพลัดหลงไปกับฝูงชน.” ตลอดทั้งวันศุกร์และวันเสาร์ ปรากฏว่าพบพยานฯ 24 คนและพวกเขาถูกนำไปที่ศูนย์บรรเทาทุกข์ของพยานฯ.พี่น้องเหล่านี้ส่วนใหญ่แทบไม่มีสิ่งของใด ๆ ติดตัวเว้นแต่เสื้อผ้าเปื้อนโคลนที่ใส่อยู่เท่านั้น. พยานฯ คนหนึ่งถือกล่องใบเล็ก ๆ หนึ่งกล่อง ขนาดเท่ากล่องใส่รองเท้า. ข้างในมีเอกสารสำคัญบางอย่าง ซึ่งเป็นของทั้งหมดที่เธอสามารถเก็บมาได้ตอนพายุถล่ม.
ที่แอสโตรโดม หลายคนได้ทราบเกี่ยวกับการเยี่ยมของเหล่าผู้ปกครองฐานะเป็นผู้รับใช้แห่งคณะพยานพระยะโฮวา และได้เข้ามาหาผู้ปกครองเหล่านั้นเพื่อขอพระคัมภีร์และหนังสือที่อธิบายพระคัมภีร์. มีการขอรับพระคัมภีร์มากกว่า 220 เล่ม. พยานฯ ยังเสนอวารสารตื่นเถิด! ฉบับ 8 สิงหาคม 2005 ซึ่งมีบทความชุดที่เหมาะแก่เวลาเป็นอย่างยิ่งเรื่อง “ภัยธรรมชาติกำลังรุนแรงยิ่งขึ้นหรือ?”
บางคนกลับบ้าน
หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากพายุคือ นักข่าวอาชีพและเป็นผู้จัดการทั่วไปของสถานีโทรทัศน์นิวออร์ลีนส์. เนื่องจากอาชีพดังกล่าว เขาจึงเคยเห็นความหายนะมาแล้วมากมายในอดีต. เขากลับไปที่บ้านในเมืองเจฟเฟอร์สัน แพริช รัฐลุยเซียนา เพื่อค้นหาข้าวของบางอย่าง. เขาเล่าว่า “ผมรู้สึกตกตะลึงที่เห็นความหายนะอย่างสิ้นเชิง. ในโทรทัศน์ เราเห็นน้ำท่วมเมื่อเขื่อนกั้นน้ำพังทลายและน้ำในลำคลองต่าง ๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมา. แต่ลมที่พัดกระหน่ำก็สร้างความเสียหายอย่างหนักด้วย. ห้องชุดของผมเสียหายยับเยิน. ข้าวของขึ้นรา, ซากเปื่อยเน่า, และกลิ่นเหม็น. ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเหม็นมากขนาดนี้. มันน่ากลัวมากจริง ๆ. แต่อย่างน้อยผมก็ยังมีชีวิตอยู่.”
อลันที่กล่าวถึงในตอนต้น ในที่สุดก็ได้กลับบ้านที่เมทารี ชานเมืองทางตะวันตกของนิวออร์ลีนส์. พายุสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง. เขากล่าวว่า “การที่ได้เห็นเช่นนั้นทำให้ผมรู้สึกปวดใจและตกตะลึง. มันเหมือนกับมีใครมาทิ้งระเบิดปรมาณูในเมืองนี้. การได้ยินข่าวนี้ทางวิทยุหรือโทรทัศน์มันเป็นคนละเรื่องกันเลยกับการเดินดูหรือขับรถมาที่นี่แล้วเห็นด้วยตาตัวเองว่าความเสียหายและหายนะที่เกิดขึ้นนั้นมันมากมายขนาดไหน. มันยากจะรับได้จริง ๆ.
“ตัวอย่างเช่น กลิ่นที่ตลบอบอวลอยู่ที่นี่เป็นเหมือนกลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นซากศพ. บริษัทห้างร้านเสียหายจนหมดสิ้น หรือไม่ก็ถูกน้ำท่วมหมด. มีตำรวจและทหารอยู่ทุกหนแห่ง ราวกับอยู่ในเขตที่มีสงคราม.”
การบรรเทาทุกข์จากหน่วยงานต่าง ๆ
เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ทั้งจากเทศบาล, รัฐ, และรัฐบาลกลางต่างก็ตั้งหน่วยบรรเทาทุกข์ขึ้น. หน่วยงานสำคัญของรัฐบาล
กลางที่ให้ความช่วยเหลือคือ หน่วยงานที่ดูแลเรื่องเหตุฉุกเฉินแห่งรัฐบาลกลางสหรัฐ. องค์กรอื่น ๆ ต่างก็ร่วมมือกันเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยหลายแสนคน. รถบรรทุกขนอาหาร, เสื้อผ้า, และน้ำดื่มจำนวนมากเข้ามายังพื้นที่ที่ถูกพายุและยังมีน้ำท่วมขัง. ไม่ช้าหน่วยงานนี้ก็สั่งจ่ายเช็คเงินสดและให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้รอดชีวิตในช่วงสองสามวันแรกหรือสองสามสัปดาห์แรก. ในช่วงนั้น พยานพระยะโฮวาทำอย่างไร?ประเมินความเสียหายและซ่อมแซม
ทันทีที่พายุสงบ พยานฯ ได้จัดส่งคณะทำงานไปประเมินความเสียหายในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมและตรวจดูว่ามีบ้านของพยานฯ และหอประชุมกี่หลังที่ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย. พวกเขาจะจัดการกับงานที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร? คณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวาที่บรุกลิน นิวยอร์ก ได้อนุมัติให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการบรรเทาทุกข์ขึ้นโดยให้อยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการสาขาสหรัฐ. จากนั้น มีการขอคณะกรรมการก่อสร้างภูมิภาค จากหลายส่วนของสหรัฐให้เริ่มทำการซ่อมแซม. * พวกเขาทำอะไรไปแล้วบ้าง?
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2006 กลุ่มบรรเทาทุกข์ในเมืองลองบีช รัฐมิสซิสซิปปีได้รายงานว่า มีบ้านของพยานฯ 632 หลังคาเรือนในพื้นที่ของเขาที่ได้รับความเสียหาย มีการซ่อมแซมไปแล้ว 531 หลัง เหลืออีก 101 หลังที่ยังต้องซ่อมแซม. พยานฯ ยังช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่มีความเชื่อต่างจากพวกเขาด้วย. หลังคาหอประชุมสิบเจ็ดหลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก และพอถึงช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มีหอประชุม 16 หลังที่ติดตั้งหลังคาใหม่เสร็จแล้ว. คณะกรรมการบรรเทาทุกข์ในเมืองแบตันรูช รัฐลุยเซียนา ได้ทำอะไรบ้าง?
คณะกรรมการกลุ่มนี้ดูแลพื้นที่ในรัฐลุยเซียนา ซึ่งได้รับความเสียหายจากเฮอร์ริเคนแคทรีนามากที่สุด. บ้านของพยานฯ 2,700 หลังจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ มีการซ่อมแซมไปเรียบร้อยแล้ว 1,119 หลัง ดังนั้น ยังคงมีงานอีกมากที่คณะกรรมการบรรเทาทุกข์ต้องทำ. อนึ่ง เพื่อนบ้านและครอบครัวของพยานฯ ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักก็ได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน. หอประชุมห้าสิบหลังเสียหายอย่างหนัก. พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ มีการซ่อมแซมหอประชุมไปแล้ว 25 หลัง. ที่รัฐเทกซัส กลุ่มอาสาสมัครในเมืองฮุสตันจำเป็นต้องซ่อมแซมบ้านจำนวน 871 หลังที่ได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนริตาในเดือนกันยายน. พอถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ มีบ้านที่ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว 830 หลัง.
บทเรียนจากแคทรีนา
ประชาชนหลายแสนคนที่ประสบภัยจากพายุแคทรีนาต่างก็ได้รับบทเรียนว่า การเอาใจใส่คำเตือนเป็นเรื่องสำคัญ. ที่จริง หลายคนคงพูดออกมาแบบเดียวกับโจที่กล่าวถึงในตอนต้น ซึ่งเขาได้บอกว่า “คราวหน้าถ้าเขาบอกให้ ‘อพยพ’ ผมจะเป็นคนแรกที่ออกจากที่นี่!”
พยานพระยะโฮวายังคงช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่ประสบภัยในแถบอ่าวเม็กซิโกต่อไป. (ฆะลาเตีย 6:10) กระนั้น งานรับใช้ของพวกเขาไม่ใช่แค่การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น. ตรงกันข้าม งานหลักของพยานพระยะโฮวาซึ่งทำกันอยู่ทั่วโลกใน 235 ดินแดนก็คือการเตือนประชาชนให้ทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องพายุที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา. คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่า ในไม่ช้าพระเจ้าจะทรงนำอวสานมาสู่ระบบที่ไม่เลื่อมใสพระเจ้า และจะทรงชำระแผ่นดินโลกและฟื้นฟูให้มีสภาพอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์. ถ้าคุณอยากทราบว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนเช่นไรเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งการพิพากษานี้ โปรดติดต่อพยานพระยะโฮวาในเขตของคุณหรือเขียนไปตามที่อยู่ในหน้า 5 ของวารสารนี้.—มาระโก 13:10; 2 ติโมเธียว 3:1-5; วิวรณ์ 14:6, 7; 16:14-16.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 32 คณะกรรมการก่อสร้างภูมิภาคประกอบด้วยกลุ่มอาสาสมัครของพยานพระยะโฮวาที่มีประสบการณ์ในงานก่อสร้างและปรับปรุงหอประชุม. ทั่วสหรัฐมีกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ประมาณ 100 กลุ่มและยังมีอีกมากมายหลายกลุ่มทั่วโลก.
[ภาพหน้า 14, 15]
ภาพถ่ายจากดาวเทียม ตาพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา
[ที่มาของภาพ]
NOAA
[ภาพหน้า 15]
น้ำท่วมในนิวออร์ลีนส์
[ที่มาของภาพ]
AP Photo/David J. Phillip
[ภาพหน้า 15]
เฮอร์ริเคนแคทรีนาทำให้อาคารบ้านเรือนเสียหายยับเยินและมีผู้เสียชีวิตหลายคน
[ที่มาของภาพ]
AP Photo/Ben Sklar
[ภาพหน้า 16, 17]
แอสโตรโดมในเมืองฮุสตัน รัฐเทกซัสเป็นที่พักของผู้อพยพ 16,000 คน
[ภาพหน้า 17]
คริสเตียนผู้ปกครองตามหาพยานฯ ในกลุ่มผู้อพยพเหล่านี้
[ภาพหน้า 18]
เหล่าอาสาสมัครซ่อมแซมหลังคาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
[ภาพหน้า 18]
พยานฯ รู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่มีการซ่อมแซมบ้านของพวกเขา
[ภาพหน้า 18]
เหล่าอาสาสมัครจัดหาอาหาร
[ภาพหน้า 19]
อลัน